เมื่อกล่าวถึง ' พระเจ้าชัยวรมัน' หลายคนมักนึกถึง 'อารยธรรมเขมร' บ้างก็ 'ปราสาทหินนครวัด' ที่มักเล่าว่ามีความเจริญรุ่งเรืองในอดีตเป็นนักหนา เนื่องด้วยผู้เขียนมีความสนใจกับอารยธรรมเขมร ทั้งยังได้มีโอกาสไปศึกษาร่องรอยอารยธรรมเหล่านี้ด้วยตัวเองมาแล้ว แน่นอนว่าผู้เขียนยังไม่เคยไปสัมผัสกับปราสาทหินที่นครวัดประเทศกัมพูชาอย่างแท้จริง แต่เราจะมาตามรอยพระเจ้าชัยวรมันตามเเนวชายเเดนไทย-กัมพูชา ซึ่งสถานที่สำคัญเหล่านี้มีความน่าสนใจและน่าค้นหาเป็นอย่างมาก วันนี้จึงอยากมา รีวิว สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เผื่อจะมีผู้ที่สนใจอยากไปเยือนและสัมผัสกลิ่นอายทางวัฒนธรรมดังเช่นผู้เขียน
*ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว*
1. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี
ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดเเสดงศิลปะโบราณในสมัยต่างๆ มองซ้ายมองขวาก็มีแต่รูปปั้นนานาสารพัดเต็มไปหมด สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดตั้งแต่ห้องโถงทางเข้า นั่นคือ รูปปั้นเทวรูปที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 12 โดยมีลักษณะเด่นคือ มี 4 กร( อีก 2 กรถูกหักไป) ซึ่งแต่ละกรจับอาวุธ เป็นปฏิมากรรมลอยตัวในศาสนาพราหมณ์ ลักษณะของเทวรูปดังกล่าวตั้งอยู่ในฐานแคบๆ ใช้ชายผ้าและอาวุธเป็นที่ยึด มีการสวมหมวกแขกหรือหมวกทรงกระบอก เป็นศิลปะที่ถูกผสมผสานกันระหว่างอินเดียและทวารวดี
นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปแบบทวารวดีที่มีลักษณะโดดเด่นคือ ปางนั่งสมาธิซึ่งถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 พบที่นอกเมืองศรีมโหสถ โดยปางดังกล่าวมีลักษณะมีคิ้วต่อกันเป็นรูปปีกกา ปากหนา ตาโปนและจมูกโด่ง ในพิพิธภัณฑ์นี้ไม่ได้มีแค่หลักฐานที่เป็นประติมากรรมอย่างเดียว อาทิ สถูปแบบชวา ธรรมจักร จารึก( ที่มีเนื้อหาส่งเสริมด้านคุณธรรมพบที่สระบัว) โครงกระดูกมนุษย์โบราณ เครื่องสังคโลกสมัยต่างๆ ภาพแกะสลักโบราณ เป็นต้น (21 ต.ค. 2560)
|
รูปปั้นเทวรูปที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 12 |
|
เสาศิลาสลัก ศิลปะทวารวดี |
|
แผนผังเมืองศรีมโหสถ |
|
เครื่องสังคโลก |
|
ธรรมจักร : ศิลปะสมัยทวารวดีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 14 |
|
พระพุทธรูปปางนั่งสมาธิซึ่งถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 |
|
สิงห์ : ศิลปะเขมรแบบบันทายศรี |
|
เครื่องประดับลำตัวกระดองเต่า |
|
โครงกระดูกมนุษย์โบราณ |
2. แหล่งโบราณคดีเมืองศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี
สถานที่แห่งนี้นับว่ามีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ผู้เขียนได้มีการสำรวจร่องรอยพระพุทธบาทที่สันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จากนั้นก็ได้เดินทางไปยังสระเเก้ว ( ชื่อสถานที่นะ ไม่ใช่จังหวัดสระเเก้ว ) เป็นโบราณสถานที่อยู่นอกเมืองโบราณแห่งนี้ สระเเก้วมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัสตุรัส 18*18 เมตร ลึกประมาณ 6.50 เมตร รึมขอบผนังของสระจะมีภาพแกะสลักเป็นภาพสัตว์ปรัมปรา เช่น ช้าง สิงห์ และมังกร เป็นต้น สัตว์ต่างๆ เหล่านี้เป็นความเชื่อตามทัศนคติฮินดู ซึ่งเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นศิริมงคล โดยสระเเก้วมีอายุได้ประมาณพุทธศตวรรษที่ 10-11 หลังจากนั้นเราก็ได้ไปยังโบราณสถานหมายเลข 22 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสระเเก้วมากนัก ที่นี่มีการขุดพบชั้นดินด้ายล่างถึงสองชั้น และมีข้อสันนิษฐานว่าอาจจะพบอีกถ้าขุดลึกลงไปอีก (21 ต.ค. 2560)
|
ร่องรอยพระพุทธบาท |
|
สระเเก้ว |
|
ภาพสลักสัตว์นำโชค |
|
โบราณสถานหมายเลข 22 |
|
โบราณสถานหมายเลข 22 |
3. ปราสาทสด๊กก๊อกธม จ.สระเเก้ว
สด๊กก๊อกธม เป็นภาษาเขมร ในชื่อภาษาไทยเรียกว่า ปราสาทเมืองท้าว
สด๊ก เเปลว่า รก
ก๊อก แปลว่า ต้นกก
ธม แปลว่า ใหญ่ ดังนั้นเมื่อรวมกันแล้วจึงแปลว่า เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นกก
|
ปราสาทสด๊กก๊อกธม |
ปราสาทสด๊กก๊อกธมแห่งนี้ เป็นศิลปะขอมโบราณ สร้างในศตวรรษที่ 15-16 ในช่วงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 สร้างก่อนนครวัดและเขาพนมรุ้ง มีการพบหลักฐานศิลาจารึกที่สำคัญคือ หลักที่ 2 ถูกค้นพบโดยชาวฝรั่งเศส มีลักษณะสูงจากพื้นเท่ากัน 3 ศอกและเป็นรูปกระโจมสี่เหลี่ยม หลักศิลาจารึกนี้มีเนื้อหาที่ประกอบด้วยรายพระนามกษัตริย์ที่ครองราชย์ และปราสาทแห่งนี้มีเนื้อที่ทั้งหมด 691 ไร่ เชื่อว่าจะมีการทำพิธีน้ำพิพัฒศัตยาปีละหนึ่งครั้ง แต่สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์อันน่าประทับใจของที่นี่คือ ในทุกวันที่ 22 มีนาคม จะมีพระอาทิตย์ขึ้นตรงช่องประตูตอน 6 โมงเช้าเป็นประจำทุกปี
|
ปราสาทประธาน |
|
ศิวะลึงค์ |
|
บริเวณโดยรอบ |
|
เสานางเรียง |
ภายรอบนอกตัวปราสาทจะมีบารายขนาดใหญ่เนื้อที่ประมาณ 77 ไร่ มีลักษณะคล้ายแก้มลิง อยู่ทางทิศตะวันออกตรงสู่นครวัด ทางตัวปราสาทจะมีการวางผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม เพราะมีความเชื่อเรื่องจักรวาล มีเสานางเรียงและกำแพงแก้วรายล้อมจนสุดปราสาท (22 ต.ค. 2560)
4. ปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์
|
ปราสาทหินพนมรุ้ง |
ปราสาทหินที่สวยงามแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพนมดงรัก ชาวจีนเรียกปราสาทหินพนมรุ้งว่า เจนละบก เพราะตั้งอยู่ในดินแดนเขมรสูง ชาวเขมรเรียกที่นี่ว่า อะนัมรุ้ง แปลว่าภูเขาอันกว้างใหญ่ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 และเสื่อมสลายลงในศตวรรษที่ 18 สร้างในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในลัทธิไศวนิกายซึ่งเป็นการยกย่องพระศิวะว่าเป็นมหาเทพ รวมถึงชาวเขมรเชื่อว่า พญานาคเป็นบรรพบุรุษ กษัตริย์เป็นผู้สร้างเองและบูชาเอง จึงมีการสร้างไว้ตรงทางขึ้นสู่ปราสาท
|
ปราสาทหินพนมรุ้ง |
|
เสานางเรียง |
|
พญานาคราช |
|
ภาพแกะสลักบนพื้นเป็นลักษณะดอกบัว 8 กลีบ |
|
ภายในตัวปราสาทหินพนมรุ้ง |
|
ทับหลังภาพแกะสลักพระอินทร์ประจำทิศ |
|
โยคะรัตนามูรติ |
|
แท่นศิวะลึงค์ |
ในระหว่างทางเข้าสู่ตัวปราสาทจะมี ภาพแกะสลักบนพื้นเป็นลักษณะดอกบัว 8 กลีบ ซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์เหมือนดอกบัว โดยทางขึ้นสู่ปราสาทจะมีทั้งหมด 52 ขั้น เมื่อถึงตัวปราสาทจะพบว่าตรงบริเวณทับหลังมีภาพแกะสลักพระอินทร์ประจำทิศ เป็นเทพในร่างฤๅษี( โยคะรัตนามูรติ) และเชื่อว่าฤๅษีนี้รักษาอาการป่วยและงูกัดให้หายได้ เมื่อได้โอกาสไปถึงปราสาทหินพนมรุ้งแล้ว พวกเราได้คาถาวิเศษจากไกด์ว่าเป็นคาถาบูชาพระศิวะ " โอม-นะมะศิวายะ" หลังจากสวดแล้วก็อธิษฐาน ว่ากันว่าจะสมหวังดังปรารถนา (22 ต.ค. 2560)
5. ปราสาทเมืองต่ำ จ.บุรีรัมย์
|
ปราสาทเมืองต่ำ |
คำว่า เมืองต่ำ ไม่ใช่ชื่อเดิมแต่เป็นชื่อที่ชาวพื้นเมืองเรียกโบราณสถานแห่งนี้ตามความเข้าใจ ซึ่งปราสาทเมืองต่ำแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ต่ำเมื่อเทียบกับปราสาทหินพนมรุ้งที่ตั้งอยู่บนที่สูง เชื่อว่าเป็นปราสาทในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลัทธิไศวนิกาย เนื่องจากพบศิวะลึงค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุด ส่วนพระวิษณุน่าจะได้รับการนับถือในฐานะเทพเจ้าชั้นรองเพรสะภาพแกะสลักส่วนมากที่ปราสาทแห่งนี้ มักเกี่ยวกับการอวตารของพระวิษณุ โดยปราสาทเมืองต่ำแห่งนี่สร้างขึ้นในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 และถูกทิ้งร้างในที่สุด
|
ปราสาทเมืองต่ำ |
|
ปราสาทประธาน |
หน้าบันจากปราสาทเมืองต่ำจะสลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เป็นศิลปะเขมรแบบบาปวนอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 ทับหลังจากปราสาทประธานของปราสาทเมืองต่ำ สลักภาพพระอินทร์ประทับเหนือหน้ากาลเป็นศิลปะบาปวนเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบบัวยอดปราสาท ส่วนบนของปราสาทเรียกว่าบัวยอด สลักจากดินทราบเป็นรูปดอกบัว ประดับอยู่บนยอดของปราสาทแต่ละหลัง (22 ต.ค. 2560)
6. ปราสาทตาเมือน จ.สุรินทร์
|
ปราสาทตาเมือน |
กลุ่มปราสาทตาเมือนธม เป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ สร้างขึ้นในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย ซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด เป็นโบราณสถานศิลปะขอมสมัยบาปวน อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 ซึ่งปราสาทแห่งนี้ประกอบด้วย ปราสาทประธาน ที่สร้างดินหินทราย มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งหันหน้าไปทางทิศใต้ ภายในมีศิวลึงค์ที่สกัดจากหินทรายธรรมชาติและมีท่อโสมสูตรหรือท่อระบายน้ำมนต์จากการบูชาศิวลึงค์ นอกจากนี้ยังพบปราสาทบริวาร บรรณาลัย ระเบียงคด สระน้ำ อโรคยาศาลและธรรมศาลา
|
แผนผังกลุ่มปราสาทตาเมือน |
|
อโรคยาศาล |
|
ธรรมศาลา |
จากการที่ผู้เขียนได้เข้าไปสัมผัสกลุ่มปราสาทตาเมือนธมข้างต้นจะเห็นได้ว่า เรายิ่งเข้าใกล้ชายเเดนกัมพูชามากขึ้น เนื่องจากเป็นเขตแดนที่มีทหารไทย-กัมพูชาเป็นผู้เฝ้าตัวปราสาท ซึ่งการเข้าไปสำรวจชายแดนของผู้เขียนครั้งนี้ ทางพวกพี่ๆ ทหารที่คอยดูแลความปลอดภัยจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปให้เห็นทหารเด็ดขาดเนื่องจากเหตุผลบางประการที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ในความความรู้สึกของผู้เขียนนึกแล้วยังขนลุกไม่หาย ทหารทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากันราวกับว่าพร้อมที่จะปะทะกันทุกเมื่อหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มก่อน ทั้งนี้ปัญหาที่มีทหารเฝ้าตัวปราสาทก็เพราะดังที่กล่าวข้างต้น สถานที่ท่องท่องเที่ยวเหล่านี้อยู่ติดกับชายแดน อีกทั้งเคยมีปัญหาความขัดเเย้งปราสาทมาหลายครั้งแล้ว ปราสาทตั้งอยู่ในชายแดนไทย แต่คนสร้างปราสาทกลับเป็นชาวกัมพูชานั่นคือพระเจ้าชัยวรมัน ก็แน่นอนล่ะ เขาก็ต้องหวงแหนสิ่งที่วีรบุรุษของพวกเขาเป็นคนสร้างอยู่แล้ว และปัญหาดังกล่าวยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน (23 ต.ค. 2560)
7. ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์
|
ปราสาทตาควาย |
เป็นโบราณสถานที่สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ด้านในมีแท่นศิวะลึงค์ของศาสนาพราหมณ์ เชื่อว่าจะให้ความโชคดีหากขอพรแล้วก็ใช้น้ำรดแท่นศิวลึงค์ดังกล่าว ภายนอกปราสาทมีชายแดนติดกับกัมพูชา มีการใช้สันปันน้ำระหว่างไทยーกัมพูชา เพื่อแสดงอาณาเขตของแต่ละประเทศ
|
แท่นศิวะลึงค์ของศาสนาพราหมณ์ |
|
สันปันน้ำ |
ปราสาทตาควายเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการเดินทาง แน่นอนว่าก็เป็นสถานที่อันตรายและน่ากลัวไม่แพ้กับปราสาทตาเมือนธม เนื่องจากตัวปราสาทซ่อนอยู่ในป่าเขาซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอดการเดินทางที่เข้าไปสำรวจพื้นที่จะมีพวกพี่ๆ ทหารประจำอยู่ทุกจุดทั้งทหารไทยและกัมพูชาต่างหันหน้าเข้าหากัน หากฝ่ายใดตุกติกก็ยิงดับทันที ทั้งนี้เรื่องสันปันน้ำนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของตัวปราสาท ตอนนี้ยังโชคดีที่สันปันน้ำอยู่ในระดับสูง ทางน้ำไหลผ่านจึงอยู่บริเวณไทย ถ้าหากวันใดวันหนึ่งสันปันน้ำอยู่ต่ำจนน้ำไหลผ่านไปยังเขตกัมพูชา นั่นแสดงว่าตัวปราสาทไม่ใช่ของไทยแล้ว (23 ต.ค. 2560)
บทความ/เครดิตภาพ : Dek-South East Asia
No comments:
Post a Comment